"บิ๊กโจ๊ก" เปิดใจกรณีถูกลอบยิง เผยมีข้อมูลคนทำแล้ว คาดเกี่ยว 2 โครงการใหญ่ขัดใจผู้มีอำนาจ ยันไม่ได้สร้างสถานการณ์ปูทางกลับไปเป็นตำรวจ ลั่น อำนาจย่อมมีวันหมด ทุกอย่างมันต้องรอเวลา
จากกรณีคนร้ายก่อเหตุใช้อาวุธปืนยิงรถยนต์ของ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล หรือ บิ๊กโจ๊ก ที่ปรึกษาพิเศษนายกรัฐมนตรี อดีต ผบช.สตม. ในพื้นที่เขตบางรัก กทม. ซึ่งขณะเกิด พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ ไม่ได้อยู่ภายในรถ ส่วนสาเหตุอยู่ระหว่างการสอบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ตามที่ได้รายงานไปแล้วนั้น
พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ ได้เปิดเผยผ่านรายการ ถามตรงๆ กับจอมขวัญ ไทยรัฐทีวีช่อง 32 ว่า ตอนนี้มีชื่อคนในใจแล้วว่าเป็นใคร แต่ระบุชื่อไม่ได้ ต้องให้สื่อไปตามต่อ ยืนยันว่าข้อมูลที่ฟันธงไปนั้น ไม่ได้กลั่นแกล้งให้ใครเสียหาย ทุกอย่างมีข้อมูลมาก่อนแล้ว
และการทำหน้าที่ของตนที่ผ่านมาก็ทำตามข้อบังคับทางกฎหมาย ใครที่ไม่พอใจก็สามารถไปฟ้องร้องกับศาลอาญา มั่นใจว่าเรื่องที่ถูกลอบยิงไม่เกี่ยวกับเรื่องชู้สาว ยิ่งเรื่องธุรกิจยิ่งเป็นศูนย์ เพราะตอนนี้รับข้าราชการอย่างเดียว
พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ กล่าวต่อว่า หลังจากเข้าคุยกับ พล.ต.อ.วิระชัย ทรงเมตตา รักษาการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เพื่อให้ปากคำถึงคดีดังกล่าว บอกไม่ได้ว่าข้อมูลไปในทิศทางเดียวไหม เพราะฝ่ายนั้นต้องไปหาหลักฐานเพิ่ม ที่ผ่านมายอมรับว่า มีคนพยายามติดต่อผ่านเพื่อนฝูง ผ่านผู้ใหญ่ให้ตนเข้าไปพูดคุย พอตนไม่ไปก็เอาตนไปต่อว่า อย่างเช่น การประชุมเรื่องนโยบายก็มีแต่เรื่องต่อว่าตนอย่างเดียว ซึ่งสิ่งเหล่านี้คือความขัดแย้งที่มีมาตลอด
"เมื่อ 2 ปีที่แล้ว มีคดีนักข่าวถูกยิงรถเช่นกัน ขณะนี้ก็ยังจับคนร้ายไม่ได้ วันนี้รถตนถูกยิงรถ ในวงการตำรวจเขาก็รู้ว่าใครยิง หลายคนอาจพูดไม่ได้ แต่อย่าลืมว่าอำนาจย่อมมีวันหมดไป ทุกอย่างมันต้องรอเวลา"
ขณะที่ นายษิทรา เบี้ยบังเกิด เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชนฯ หรือ ทนายตั้ม ได้พูดถึง 2 โครงการที่คาดว่าเกี่ยวข้องคือ โครงการไบโอเมตริกซ์ กับ โครงการรถไฟฟ้าอัจฉริยะที่ได้ส่งให้ ป.ป.ช. ตรวจสอบ เนื่องจากโครงการดังกล่าวเลยกำหนดส่ง ส่วนโครงการไฟฟ้า ปัญหาคือใช้งานไม่ได้จริง โครงการนี้เสียเงินไปไม่ใช้น้อย ซึ่งภายหลังทราบว่ามีการขยายโครงการเพิ่มขึ้นอีก ส่วนตัวคิดว่าเป็นเรื่องใหญ่เกี่ยวข้องกับผู้มีอำนาจ แต่ไม่คิดว่าจะเป็นเรื่องใหญ่ขนาดนี้
และมีเอกสารฉบับหนึ่งที่ บิ๊กโจ๊ก ขอยับยั้งโครงการส่งให้ ผบ.ตร. ซึ่งภายหลังตนได้ทำเรื่องขอให้มีการตรวจสอบไป 4 คน เนื่องจากโครงการนี้ครบสัญญาไปเมื่อปีที่แล้ว หากโครงการส่งไม่ทันจะต้องเสียค่าปรับวันละ 5 ล้านบาท แต่รัฐได้ขยายเวลาทำให้ไม่ได้รับเงินค่าปรับตรงนี้นี้
พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ กล่าวอีกว่า ทุกครั้งที่จะทำเรื่องยกเลิกโครงการ อย่างโครงการไบโอเมตริกซ์ต้องทำหนังสือส่งไปยัง ผบ.ตร. เนื่องจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติเป็นคนจัดหา แต่งบประมาณเป็นของ ตม. เมื่อตนเข้ามานั่งตำแหน่งผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เห็นว่าโครงการมีปัญหาก็ได้นัดคนที่เกี่ยวข้องมาคุยแล้ว พบว่าโครงการเกิดปัญหาล่าช้าไม่สามารถส่งงานทัน ระบบทำงานไม่ได้ครบทุกข้อ ในฐานะคนทำงานเลยมีหนังสือถึง ผบ.ตร. ว่าจะยกเลิกสัญญา แต่ไม่ได้หมายถึงจะว่ายกเลิกโครงการนี้ อยู่ที่ว่าจะจัดหาใหม่อย่างไร
ส่วนโครงการรถไฟฟ้าอัจฉริยะ เมื่อตนมานั่งเป็นผู้จัดการแล้ว ทาง ป.ป.ช.ก็สอบถามมาว่าเป็นอย่างไร ซึ่งขณะนั้นมีการเซ็นรับรถกันหมดแล้ว แต่ภายหลังตนพบว่า ไม่คุ้มค่าเพราะเกิดปัญหาระหว่างใช้งาน สุดท้ายรถก็ต้องเติมน้ำมัน ซึ่งก็ต้องใช้เงินหลวงอยู่ดี ปัจจุบันก็ยังคงนำรถไปใช้ผิดวัตถุประสงค์ที่ซื้อมา
จากการสอบถาม พล.ต.อ.วิระชัย ทรงเมตตา รักษาการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า ความคืบหน้าของคดีนี้อยู่ระหว่างการสะกดรอยติดตาม ยังไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นใคร เพราะคนร้ายสวมหมวกกันน็อก สวมเสื้อผ้าปิดบังร่างกาย ส่วนกระสุนปืนที่ใช้ก่อเหตุไม่ใช่ปืนลูกซอง ซึ่งในวันพรุ่งนี้ (9 ม.ค.62) เวลา 10.00 น. ตนจะให้กองพิสูจน์หลักฐานทำการรื้อรถเพื่อหาพยานหลักฐานเพิ่มเติมว่าเป็นอาวุธชนิดใดกันแน่
คดีนี้เมื่อมีเหตุเกิดขึ้นก็ต้องสอบสวนไปตามขั้นตอนส่วนตัวให้ความสำคัญมาก เพราะเป็นการก่อเหตุอุกอาจ แม้ว่าจะไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บแต่เป็นเรื่องสะเทือนขวัญประชาชน และขณะนี้ ผบ.ตร ได้เดินทางไปต่างประเทศ ตนซึ่งเป็นรักษาการก็ได้รายงานเรื่องนี้ให้ท่านทราบแล้ว
สำหรับมูลเหตุจูงใจในคดีนี้ ตำรวจต้องรวบรวมหลักฐาน หากได้ตัวคนร้ายก็จะมีความชัดเจนขึ้น ตอนนี้ยังจึงไม่มาสามารถสรุปสาเหตุจูงใจได้ เมื่อถามถึงคนในวงการตำรวจรู้เลยหรือว่า คนร้ายเป็นใคร ตนคิดว่าเรื่องนี้ขึ้นอยู่กับความคิดของแต่ละคน ในฐานะพนักงานสอบสวนไม่สามารถเอาความคิดเห็นส่วนตัวมาเกี่ยวข้องได้ ต้องสรุปไปตามขั้นตอนอย่างตรงไปตรงมา
พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ กล่าวเพิ่มว่า เรื่องรถนักข่าวถูกยิงเมื่อ 2 ปีที่แล้ว ก็พูดไม่ได้ว่าใครสั่งยิง เหมือนเรื่องของตนก็รู้กันในวงการตำรวจ ในมุมมองส่วนตัว หากอำนาจหมดไปความจริงก็ต้องปรากฏ ในวันนี้สิ่งที่ง่ายที่สุดก็คือทำความจริงให้ปรากฏ อย่าจับแพะ ต้องทำแบบตรงไปตรงมา ซึ่งก็ต้องรอให้ได้ตัวคนร้ายก่อน และขอยืนยันว่า เรื่องการโยกย้ายตำแหน่งไม่เกี่ยวกับคนๆ นี้
ส่วนเรื่องที่มีข่าวว่าตนสร้างสถานการณ์เพื่อกลับไปเป็นตำรวจนั้น ยืนยันว่าไม่จำเป็นต้องสร้างสถานการณ์ คนจะทำอะไรต้องมีสาเหตุจูงใจ นอกจากเรื่องโครงการแล้วตนก็ไม่มีเรื่องขัดแย้งกับใครทั้งสิ้น
"ทุกวันนี้ต้องระวังตัวมากขึ้น แต่ไม่ได้กลัว เพราะถ้ากลัวคงไม่มีใครกล้าเซ็นเอกสาร แต่อย่างน้อยๆ ตนก็ยังมีที่ยืน อย่างน้อยๆ คนเราต้องมีศักดิ์ศรีมาตอบคำถามสังคมให้ได้"
2020-01-08 13:36:00Z
https://news.google.com/__i/rss/rd/articles/CBMiL2h0dHBzOi8vd3d3LnRoYWlyYXRoLmNvLnRoL25ld3Mvc29jaWV0eS8xNzQzMDI40gEA?oc=5
0 Comments:
Post a Comment